ป้ายกำกับ: พลังงาน

  • สรุปให้แล้ว! 4 กฎทอง ‘ลูกรักจักรวาล’ (อ่านจบ เปลี่ยนแปลงตัวเองได้เลย!)

    สำหรับใครที่ไม่อยากอ่านยาวๆ เราได้ทำการสรุปหัวข้อทั้ง 4 มาสั้นๆ ให้คุณแล้ว

    • โลกภายในจะเป็นตัวสะท้อนโลกภายนอก สิ่งที่เข้ามาในชีวิตของเรา คือกระจกสะท้อนตัวเราเอง
    • คุณจะต้องแยกให้ออกว่าสิ่งไหนที่เข้ามาในชีวิต คือสิ่งที่จะทำให้คุณเติบโตขึ้น สิ่งไหนที่จะทำให้คุณแย่ลง ก็เรียนรู้ที่จะปล่อยมันทิ้งไป
    • ระลึกไว้เสมอว่า จักรวาลไม่ได้ให้สิ่งที่เราต้องการ แต่จักรวาลจะให้ในสิ่งที่เราคู่ควร
    • แล้วอย่าลืมว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนไปเสมอ

    แต่ถ้าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจ ขอเชิญชวนทุกท่านเข้ามาอ่านแบบขยายความได้ในส่วนถัดไป


    เรื่องของเรื่องก็คือ

    เราบังเอิญผ่านไปเจอคลิปๆ นึงจากทาง Tiktok

    ซึ่งปกติเราก็จะเปิดฟังไปเพลินๆ ระหว่างเช็ดหน้า ทาครีมอะไรไปเรื่อยเปื่อย

    แต่วันนี้ พอฟังๆ ไป แล้วรู้สึกว่า

    เห้ยย หัวข้อนี้ มันค่อนข้างที่จะน่าสนใจเลยนะ

    เลยอยากจะมาเขียนแชร์ให้กับทุกๆคนได้รู้ไปด้วยกัน

    ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ คอนเทนท์จากคุณเอิม

    เจ้าของช่อง Tiktok : เอิมไม่มีอะไรมากอยากแชร์

    คุณเอิม ได้มาแชร์เกี่ยวกับ วิธีจูนคลื่นพลังงานเพื่อดึงดูดสิ่งที่ปรารถนาอย่างรวดเร็ว

    โดยได้แนะนำกฎทอง 4 ข้อ ที่จะทำให้เราเป็นลูกรักของจักรวาล

    มาเริ่มที่ข้อแรกกันเลยดีกว่า

    1.สิ่งที่เข้ามาในชีวิตของเราคือกระจกที่สะท้อนตัวเราเอง

    จากประโยคที่ว่า “โลกภายในสะท้อนโลกภายนอก”

    หมายความว่า “โลกข้างในเป็นยังไง โลกข้างนอกก็เป็นอย่างนั้น”

    อ่าวว อธิบายยังไงให้ความหมายเท่าเดิม 🤣

    โลกภายใน หรือ สิ่งที่อยู่ข้างในตัวเรา

    ไม่ว่าจะเป็น สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เรารู้สึก

    หรือ การตอบสนองต่อเรื่องต่างๆข้างในใจหรือในสมองเราเนี่ย

    มันจะสะท้อนออกมาเป็นสิ่งที่เราได้เจอในโลกความเป็นจริงของเรา

    หรือที่ได้เปรียบไว้ ว่าเป็นโลกภายนอก

    หรือสามารถพูดได้ว่า โลกภายนอก จะจัดสรรประสบการณ์ให้เรา

    ตามสิ่งที่เราเป็นอยู่ข้างใน นั่นเอง

    เอางี้

    คุณเคยสงสัยมั้ยว่า…

    ทำไมตัวเองถึงได้เจอแต่กับปัญหาเดิมๆ เข้ามาซ้ำๆ ??

    แม้ว่าผู้คนหรือสถานการณ์จะเปลี่ยนไปก็ตาม

    สิ่งที่คุณต้องหันกลับมาสำรวจเป็นอย่างแรกเลยก็คือ

    คุณกำลังทำอะไรซ้ำๆ ในรูปแบบเดิมๆ อยู่รึเปล่า

    …ถ้าใช่

    สิ่งที่จะทำให้คุณหลุดออกจากวงจรนี้ได้ ก็คือ คุณต้องเปลี่ยนการตอบสนองจากข้างใน ทั้งความคิด ความรู้สึก และ การกระทำ

    พอคุณเปลี่ยนการตอบสนองภายใน

    เหตุการณ์ลักษณะเดิมที่จะเกิดขึ้นในครั้งต่อไป ก็จะเปลี่ยนไป

    แล้วคุณก็จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ใหม่ๆ

    ซึ่งหลังจากได้ฟังข้อนี้แล้วก็แอบคิดถึงประโยคที่ว่า

    “มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละ ที่จะทำเรื่องเดิมๆแล้วคาดหวังจะให้ผลลัพธ์เปลี่ยนไป” บ้างก็ว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เป็นคนพูดประโยคนี้

    “Insanity is doing the same thing over and over again and expecting different results.” – Albert Einstein

    จริงไม่จริง ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ 🤣🤣🤣

    ซึ่งความหมายก็จะคล้ายๆ ที่คุณเอิมได้พูดถึงข้อนี้กันเลย

    ว่าถ้าหากเราต้องการให้เกิดผลลัพธ์ใหม่ๆ แต่ว่ายังคงทำพฤติกรรมแบบเดิม

    มันจะเปลี่ยนผลลัพธ์ได้ยังไง ใช่มั้ยล่ะ ?

    ถ้าลองยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น

    เราอยากที่จะลดน้ำหนัก แต่ว่าเราก็ยังคงมีนิสัยการกินแบบเดิม

    เปิดด้วยออเดิร์ฟ ตามด้วย main course ตบด้วย dessert ออกกำลังกายก็ไม่ได้ออก

    แล้วน้ำหนักมันจะลดได้ยังไงกันเล่าาา

    ไม่ใช่เพียงพฤติกรรมเท่านั้นที่เราต้องเปลี่ยน

    แต่จะรวมไปถึงการเปลี่ยนโลกภายในของเราด้วย

    ซึ่งมันก็คือความคิด ความรู้สึก ความเชื่อที่มีของเราด้วย

    เราคิดว่าเราเป็นคนแบบไหนล่ะ

    ระหว่าง

    คนที่มีคอนเซปต์ “กินคาวไม่กินหวานสันดารไพร่”

    หรือ

    คนที่มีคอนเซปต์ “รักสุขภาพ ดูแลตัวเอง ตอนเช้าจ้อกกิ้ง ตอนสายพีราทิส ตอนเย็นเข้าฟิตเนส”

    นั่นแหละ ทุกอย่างมันเริ่มตั้งแต่ที่เรามองตัวเราเองแล้ว

    เพราะฉะนั้น ประโยคที่ว่า โลกภายในสะท้อนโลกภายนอก

    ก็เป็นไปตามทฤษฎีของกระจกสะท้อน นั่นเอง

    ถ้าอยากให้ภายนอกถูกสะท้อนออกมาดี ก็ต้องปรับจากที่ภายในก่อน

    ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คุณทำได้ เชื่อมั่นๆๆ


    2. คุณจะต้องแยกให้ออกว่าสิ่งไหน คือสิ่งที่จะทำให้คุณเติบโตขึ้น

    ข้อนี้จริงๆก็ถือว่าเป็นทักษะที่สำคัญมากๆ ในการใช้ชีวิต

    นั่นคือการ “แยกให้ออกว่า สิ่งไหนควรถือ สิ่งไหนควรทิ้ง

    อาจจะฟังดูเหมือนไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก

    แต่ในโลกความเป็นจริง มันมีอะไรประเดประดังเข้ามาหาเราอยู่ตลอดเวลา

    ไม่ว่าจะเป็น คำพูด การถูกวิพากษ์วิจารณ์ การกระทำต่างๆ

    บางทีมันก็ทำให้เราก็เหมือนช็อตไปเลย

    จนแยกไม่ออก ว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่ควรเก็บไว้ และอะไรคือขยะทางอารมณ์ที่เราควรปล่อยผ่านไป

    เพราะเรามักจะติดกับดักจากการที่เราฟังเสียงการถูกวิพากษ์วิจารณ์

    หรือความคิดเห็นจากโลกภายนอกมากจนเกินไปอยู่บ่อยๆ

    แล้วเราเผลอก็เพิกเฉยกับโลกภายในของเราเอง (ซึ่งมีส่วนสำคัญมาก จากที่อธิบายไปข้อ 1)

    ซึ่งการจะแยกแยะได้มันต้องใช้ประสบการณ์ และการฝึกฝนพอสมควร

    คุณอาจจะต้องลองฟังเสียงข้างในตัวคุณเองก่อน

    ลองหยุดถามตัวเองว่า ‘เรารู้สึกยังไงกับสิ่งนี้’

    มันทำให้ใจคุณหนักอึ้ง หรือโล่ง โปร่งสบาย ถ้ามันหนักก็คัดทิ้งซะ

    บางทีคุณต้องลองมาพิจารณาดูว่า เจตนา ของการกระทำหรือคำพูดนั้นมันมีวัตถุประสงค์อะไรยังไง

    แล้วก็ต้อง อย่าลืมที่จะ ‘มองหาโอกาส’ ในการนำมาพัฒนาตัวเอง

    ลองถามตัวเองว่า ‘สิ่งนี้มันมีแง่มุมไหนที่จะทำให้เราได้เรียนรู้ หรือเติบโตขึ้นบ้างมั้ย?’

    บางทีคำวิจารณ์ หรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้น อาจจะเป็นบทเรียนที่มีประโยชน์ในอนาคตของเราก็ได้

    สิ่งสำคัญคือ การแยกแยะให้ได้ว่า

    สิ่งที่เข้ามาไม่ว่าจะจากประสบการณ์ เหตุการณ์ ผู้คน หรืออะไรก็ตาม

    เป็นเพียงคำวิจารณ์ที่จะมาบั่นทอน หรือเป็นบทเรียนที่ทำให้คุณเติบโตขึ้นได้จริง

    อะไรที่เป็นเพียงสิ่งที่บั่นทอน ก็ให้เรียนรู้ที่จะปล่อยวางมันไป เพื่อที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมีความสุข


    3.เราไม่ได้สิ่งที่เราต้องการ แต่เราจะได้สิ่งที่เราคู่ควร

    ข้อนี้แหละที่ทำให้เราร้อง ‘เห้ย!’ กับคลิปนี้

    เพราะมันค่อนข้างทำห้เราได้มาฉุกคิด ในอะไรที่เรามองข้ามไป

    คุณเอิมอธิบายประมาณว่า จักรวาล หรือ พลังงานต่างๆ รอบตัวเรา (vibration คลื่นความถี่)

    เขาไม่ได้จะคอยส่งในสิ่งที่คุณต้องการ หรือ ร้องขอ ออกมาให้คุณเสมอไป

    แต่เขาจะส่งในสิ่งมัน สอดคล้อง หรือ เหมาะสม กับ สภาวะภายใน (โลกภายใน) ของคุณ ณ ขณะนั้นมาให้แทน

    หรือพูดง่ายๆ ก็คือสิ่งที่คุณ “คู่ควร” ที่จะได้รับนั่นเอง

    ขอขยายความคำว่า คู่ควร ซักหน่อย ซึ่งในที่นี้ไม่ได้แปลว่า คุณจะต้องพิเศษเหนือคนอื่นๆ

    แต่มันเหมือนเป็นการให้คุณมาย้อนกลับมาถามตัวเองว่า…

    ตอนนี้ ‘ภาชนะ’ ของคุณพร้อมที่จะรองรับสิ่งนั้นแล้วหรือยัง?

    .

    คลื่นพลังงาน หรือ ‘Vibe’ ของคุณ มันตรงกับสิ่งที่อยากได้แล้วหรือเปล่า?

    .

    คุณมีคุณสมบัติ หรือสภาวะภายในที่สอดคล้องกับสิ่งนั้นแล้วหรือยัง?”

    คุณเอิมได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบมาได้ค่อนข้างที่จะเห็นภาพ

    ก็คือ…ให้ลองนึกภาพดู

    ว่าผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็คงจะไม่ได้ยื่นของหนักหลายกิโล

    ให้เด็กอนุบาลตัวเล็กๆ ช่วยถือ ใช่มั้ยล่ะ?

    ไม่ใช่ว่าของนั้นมันเป็นของที่ไม่ดีอะไรยังไง

    แต่เพราะว่า เราได้ ‘ประเมิน‘ ดูแล้วว่าศักยภาพความแข็งแรง หรือ ‘ความพร้อม’ ของเด็ก ณ ตอนนั้น ยังมีไม่มากพอ

    เขายังไม่สามารถที่จะถืออะไรที่มันมีน้ำหนักมากขนาดนั้นได้

    จักรวาลก็ทำงานแบบนั้นเช่นกัน…

    จักรวาลจะ ‘ประเมินความพร้อม’ หรือ ‘ความคู่ควร’ ของเรา

    ก่อนที่จะส่งมอบอะไรมาให้

    คุณต้องหันกลับมาว่า แทนที่จะเอาแต่ถามว่า “เมื่อไหร่จะได้”

    เป็นถามตัวเองว่า ‘คุณคู่ควรหรือยัง?’

    .

    “สิ่งที่เราอยากได้มากๆ นั้นน่ะ ตอนนี้เรา ‘เป็น’ คนที่พร้อมรับสิ่งนั้นแล้วหรือยัง?”

    .

    “เราได้สร้าง ‘ความคู่ควร’ นั้นขึ้นมาในตัวเองแล้วหรือยัง?”

    อีกตัวอย่างหนึ่ง ก็คือในเรื่องของ ความรัก

    ถ้าคุณเอาแต่เรียกร้องหา อยากเจอ ‘ความรักดีๆ’

    อยากมีแฟนที่เข้าใจ ใส่ใจ ให้เกียรติ

    คำถามที่ต้องตอบให้ได้ก่อน ก็คือ

    “แล้วทุกวันนี้คุณได้มอบ ‘รักดีๆ’ แบบที่คุณอยากได้ ให้กับตัวเองแล้วหรือยัง?”

    เพราะถ้าคุณยังขาดสิ่งเหล่านี้จาก ‘โลกภายใน’ ของคุณเอง (กลับไปที่กฎข้อ 1 เป๊ะๆ!)

    มันก็ยากมากๆ

    ที่ ‘โลกภายนอก’ จะสะท้อนความรักดีๆ แบบที่เราต้องการกลับมาให้เราได้สัมผัส

    เฉียบเกินนน 😁😁😁

    ข้อนี้อาจจะฟังดูท้าทาย และเหมือนต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองเต็มๆ

    (ซึ่งก็จริง! ชีวิตใคร ชีวิตมัน ดูแลเองสิ)

    แต่มันก็หมายความว่า

    กุญแจสำคัญในการสร้างชีวิตที่เราต้องการ…มันอยู่ในมือเราเองนี่แหละ!

    อยู่ที่การลงมือสร้าง ‘ความคู่ควร’ นั้นขึ้นมาด้วยตัวเราเอง

    “What you seek is seeking you.” – Rumi


    4.ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนไปเสมอ

    มาสู่ข้อสุดท้าย ข้อนี้ก็ค่อนข้างตามหลักสัจธรรม ที่ว่า

    ทุกสิ่งบนโลกนี้ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ไม่มีอะไรเลยที่จะเหมือนเดิมเป๊ะๆ ได้ตลอดไป

    ยังไงก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป ไม่มากก็น้อย

    การที่คุณดูไม่ออกว่ามันเปลี่ยนไป ไม่ได้แปลว่ามันไม่เปลี่ยนไป

    .

    โอเค

    แล้วมันเกี่ยวข้องกับการดึงดูดสิ่งที่เราปรารถนายังไง?

    ฟังนะ

    ในเมื่อ “ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้” มันก็หมายความว่า “ตัวเราเอง” ก็เปลี่ยนแปลงได้

    และ “จำเป็นต้องเปลี่ยน” เช่นกัน

    ถ้าเราอยากเห็น “ผลลัพธ์” ในชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไป (ตามกฎ ข้อที่ 1 ของเรา)

    ทีนี้ มันก็จะย้อนกลับไปตอบคำถามที่หลายๆ คน อาจสงสัย (รวมถึงเราด้วย 🙌)

    ที่กำลังพยายามใช้เทคนิคต่างๆ ที่มีคนแนะนำกันมา

    ไม่ว่าจะเป็น

    การใช้ Visual Board, การ Manifest, การทำ Self-Talk

    “ก็ทำไปทั้งหมดแล้ว แล้วทำไมยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการซักทีล่ะ?”

    “ทำ Visual Board ก็แล้ว… Manifest ก็แล้ว… Self-Talk เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน เป็นยาหลังอาหารก็แล้ว ทำม้ายยย มันไม่เห็นจะเกิดขึ้นจริงเลยย!?” 😭

    กฎข้อ 4 นี้ เหมือนจะมาสะกิดเราเบาๆ ว่า…แล้วในขณะที่คุณกำลังรอให้ ‘ผลลัพธ์’ มันเปลี่ยนนั้นน่ะ… ‘ตัวคุณ’ ได้ ‘เปลี่ยน’ ไปจากเดิมบ้างแล้วหรือยัง?”

    เพราะถ้าเรามัวเอาแต่ คิดแบบเดิม รู้สึกแบบเดิมๆ มี Reaction ต่อสิ่งต่างๆ แบบเดิมๆ ลงมือทำ (หรือไม่ทำ) อะไรเหมือนเดิม

    แล้วเราจะมาคาดหวังให้ “ผลลัพธ์ใหม่ๆ” ที่แตกต่างจากเดิม มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ในเมื่อ “เหตุ” (ตัวเรา) มันยังไม่เปลี่ยนเลย

    มันก็ไม่ make sense เท่าไหร่จริงมั้ย ถ้าผลลัพท์จะเปลี่ยนในขณะที่เราไม่เปลี่ยน

    ดังนั้นกฎข้อนี้ ก็คือให้เราเปลี่ยนจุดโฟกัส

    จากการเอาแต่มอง ‘ผลลัพธ์ภายนอก’

    มาเป็นการถาม ‘โลกภายใน’ ของเราเองว่า…

    เราเปลี่ยนหรือยัง?

    หัวใจสำคัญของข้อนี้ ก็คือ

    “การเปลี่ยนแปลง” เป็นเรื่องของธรรมชาติ

    และแทนที่จะมัวแต่รอให้โลกภายนอกเปลี่ยนไป (ซึ่งความเป็นไปได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน)ให้เราหันมา “เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง” นั่นเอง

    โดยเริ่มจากการ “เปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายใน” ก่อน ทั้งความคิด ความรู้สึก การกระทำ และการพัฒนาตัวเองให้ “คู่ควร” (ตามกฎข้อ 3)

    เมื่อภายในเราเปลี่ยนไปมากพอ เดี๋ยว “ผลลัพธ์ภายนอก” มันก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปเองตามกฎของจักรวาล นั่นเอง

    จบไปแล้วกับ กฎทองทั้ง 4 ข้อ ที่จะทำให้คุณคู่ควรกับสิ่งที่คุณปราถนา จนเรียกได้ว่าเป็นลูกรักจักรวาลกันเลยทีเดียว

    เนื่องจากบทความนี้เป็นบทความแรกที่เราได้ลองมาเขียน ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่คุณได้อ่านมาจนจบ (หรือบางคนเลื่อนมาอ่านตอนจบ) มันก็อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบอะไรขนาดนั้น บางส่วนอาจจะอธิบายได้วกวนหรือเข้าใจยาก ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย จะพยายามปรับปรุงในครั้งถัดๆ ไป

    แต่ก็นั่นแหละ เราที่เป็นผู้เขียน ก็กำลังพยายามเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ในอนาคต ที่จะเกิดจากการลงมือทำสิ่งใหม่ในวันนี้อยู่

    ขอให้ทุกคนคู่ควรกับการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น…Have a good day mate! 👋